หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
จิตวิทยาการเรียนการสอน
จิตวิทยาการเรียนการสอน
จิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงที่ไม่จัดว่าเกิดจากการเรียนรู้ ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เนื่องมาจากวุฒิภาวะ
จิตวิทยาการเรียนการสอน มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษา
การสร้างหลักสูตรและการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล
ครูอาจารย์จำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการศึกษาเพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้
ตลอดจนแก้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนการสอนอันมุ่งการศึกษาการเรียนรู้
และพฤติกรรมของผู้เรียนในสถานการณ์การเรียนการสอน
พร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียนจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์คือ
กระบวนการคิด และพฤติกรรมของมนุษย์
ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษา เช่น การรับรู้ อารมณ์
บุคลิกภาพ พฤติกรรม และรูปแบบความสำพันธ์ระหว่างบุคคล
ความเป็นมาของจิตวิทยา
คำว่า จิตวิทยา แปลมาจาก psychology ในภาษาอังกฤษ ซึ่งคำนี้มาจากภาษากรีก 2 คำ คือ “psyche” หมายถึงวิญญาณ ส่วน logos หมายถึง การศึกษาเล่าเรียน
จากคำนิยามนี้แสดงให้เห็นว่า เดิมที่เดียวจิตวิทยา หมายถึง
การศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณหรือเรื่องลึกลับ ต่อมานักปราชญ์ให้ความหมายของ psyche ว่า หมายถึง จิต ดังนั้น
วิชาจิตวิทยาจึงเป็นวิชาที่ศึกษาเรื่องจิต
แนวคิดเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการ
จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัยของมนุษย์เป็นศาสตร์ที่มีความสลับซับซ้อน
จากการที่ต้องศึกษาการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ในลักษณะองค์รวม ทั้งที่สามารถมองเห็นได้ง่าย
ชัดเจน และมองเห็นได้ยาก ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม
การเรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยาพัฒนาการถือเป็นเรื่องสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษา
ช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความรู้ ความเข้าใจลักษณะธรรมชาติของมนุษย์
ลำดับขั้นพัฒนาการชีวิตในช่วงวัยต่าง ๆ
ตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต และทราบถึงองค์ประกอบต่าง ๆ
ที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย ส่งผลให้ผู้ศึกษาเกิดการยอมรับ
เข้าใจตนเองและผู้อื่น
เข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
สามารถปรับตัวให้เข้ากับบุคคลในวัยต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
ตลอดจนสามารถช่วยเหลือบุคคลวัยต่าง ๆ ในแนวทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
ภาษาทางจิตวิทยา
จิตวิทยาก็มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกษาเช่นเดียวกับศาสตร์อื่น
ๆ คำศัพท์บางส่วนประกอบด้วยคำศัพท์ที่คนทั่วไปใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน
คำศัพท์บางคำก็เป็นคำศัพท์ทางวิชาการที่คุ้นเคย ถึงแม้ศัพท์บางคำจะเป็นที่เข้าใจ
และคุ้นเคยของคนทั่วไป
แต่นักจิตวิทยาก็ได้ให้ความหมายเฉพาะเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการศึกษาจิตวิทยา
ขอบข่ายของจิตวิทยาการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษามีขอบข่ายกว้างขวาง
และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาอื่น ดังนี้
1. จิตวิทยา (Psychology) คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์
และสัตว์
การศึกษาค้นคว้าทางจิตวิทยาในปัจจุบันใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลอย่างมีกฎเกณฑ์
ระเบียบแบบแผน
2. จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) เป็นการค้นคว้าถึงการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงวัยชรารวมทั้งอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการและลักษณะความต้องการความสนใจของคนในวัยต่างๆซึ่งอาจแบ่งเป็น จิตวิทยาเด็ก
จิตวิทยาวัยรุ่น จิตวิทยาผู้ใหญ่
3. จิตวิทยาสังคม (SocialPsychology) เป็นการศึกษาค้นคว้าถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีต่อปรากฏการณ์ต่าง
ๆ ทางสังคม จิตวิทยาสังคมเกี่ยวพันถึงวิชาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมวิทยา(Sociology)และมนุษย์วิทยารวมทั้งเกี่ยวพันถึงสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมากเป็นต้นว่าการเมืองศาสนาเศรษฐศาสตร์สุขภาพจิต
4. จิตวิทยาปกติ (Abnormal Psychology) เป็นการศึกษาถึงความผิดปกติต่าง ๆ เช่น
โรคจิต และโรคประสาท ความผิดปกติอันเนื่องจาก ความเครียดทางจิตใจ เป็นต้น
5.จิตวิทยาประยุกต์ (AppliedPsychology) เป็นการนำความรู้และกฎเกณฑ์ทางจิตวิทยาแขนงต่างๆมาดัดแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์หรือนำไปใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์
เช่น นำไปใช้ในการรักษาพยาบาล การให้คำปรึกษาหารือในวงการอุตสาหกรรม
การควบคุมผู้ประพฤติผิด เป็นต้น
6. จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of learning) เป็นการศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้
กระบวนการเรียนรู้ ธรรมชาติของการเรียนรู้ การคิด การแก้ปัญหา การจำ การลืม
รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้
7. จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Psychology of Personality) เป็นการศึกษาคุณลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมที่ทำให้บุคคลมีความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือแตกต่างจากบุคคลอื่น
ทั้งในด้านแนวคิด ทัศนคติ การปรับตัวและการแก้ปัญหา
จุดมุ่งหมายของการศึกษาจิตวิทยา
1. ทำความเข้าใจพฤติกรรม (understanding behavior) โดยพยายามศึกษาว่ามนุษย์คิด รู้สึก
และทำอย่างไรในสถานการณ์นั้น ๆ และอะไรเป็นสาเหตุให้เขาทำเช่นนั้น
นักจิตวิทยาจะพยายามรวบรวมข้อมูลอย่างระมัดระวัง ด้วยการสังเกต
บันทึกอย่างละเอียดประกอบกับการใช้กลวิธีอื่น ๆ
จนกระทั่งเข้าใจพฤติกรรมอย่างถ่องแท้ และสามารถสรุปสาเหตุการเกิดพฤติกรรมนั้นได้
เช่น นักเรียนรู้สึกอย่างไรเมื่อมาเข้าสอบไม่ทันเวลา
ในวันแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
และทำไมเขาจึงมาเข้าสอบไม่ทันจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมย่อมมีสาเหตุ
และสาเหตุอาจมีหลายประการประกอบกัน
2. การพยากรณ์ (prediction) หมายถึง การทำนายหรือคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดหรือไม่เกิดพฤติกรรมนั้น
ๆ ภายใต้สภาวการณ์หนึ่ง ๆ เช่น
นักเรียนเดินทางมาเข้าห้องสอบไม่ทันเพราะการจราจรติดขัด
จึงพยากรณ์ว่าถ้านักเรียนเข้าสอบในสนามสอบใกล้บ้าน นักเรียนจะเดินทางมาสอบทันเวลา
การพยากรณ์เป็นผลของการความเข้าใจเมื่อมีความเข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมปัจจุบัน
ก็ย่อมจะสามารถพยากรณ์พฤติกรรมในอนาคตได้
3. การควบคุมพฤติกรรม (control) หมายถึง
การวางแผนควบคุมพฤติกรรมที่ต้องการและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ถ้าการพยากรณ์ถูกต้องการควบคุมก็ย่อมจะได้ผล พฤติกรรมมนุษย์มีความซับซ้อนมากกว่านี้
พฤติกรรมส่วนมากไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดเพียงสาเหตุเดียว
แนวความคิดในการอธิบายพฤติกรรมก็แตกต่างกัน ตามมุมมองของนักจิตวิทยาในแต่ละกลุ่ม
ลักษณะธรรมชาติผู้เรียน
เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปช่วยในการปรับตัวให้ดีขึ้น
Horace B. English and
Ava C. English ซึ่งได้กล่าวถึง
ความหมายของจิตวิทยาว่า จิตวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ
-พฤติกรรม (Behavior)
-การกระทำ (Acts)
-กระบวนการคิด (Mental process) ไปพร้อมกับการศึกษาเรื่อง สติปัญญา, ความคิด , ความเข้าใจ การใช้เหตุผล
การเข้าใจตนเอง (Selfconcept)ตลอดจนพฤติกรรมของบุคคลด้วย
ประโยชน์ของการศึกษาจิตวิทยา
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ในการประกอบธุรกิจต่าง
ๆ โดยเฉพาะในงานราชการ การทำหน้าที่จำหน้าและชื่อคนในบังคับบัญชาและลูกค้า การปกครองให้คนร่วมมือกลมเกลียว
วิธีสอบสัมภาษณ์เลือกคนเข้าทำงานและการใช้คนให้เหมาะสมกับชนิดของงาน วิธีเอาใจลูกค้าด้วยประการต่าง
ๆ ฯลฯ
2.
มีความรู้เกี่ยวกับการเล่นของเด็กและการกีฬา
จิตวิทยาวิเคราะห์ให้ทราบว่า
การเล่นคืออะไร
และบอกให้ทราบว่าเด็กคนไหนมีความเจริญทางจิตแค่ไหน ควรเล่นอะไร จึงจะได้ประโยชน์
การให้กำลังใจในการเล่นกีฬาเป็นส่วนที่ช่วยให้คนเล่นกีฬาชนะเท่า ๆ
กับกำลังกาย
ความรู้ในทางจิตวิทยาจะทำให้ครูพละศึกษาและหัวหน้าชุดกีฬาประเภทต่าง ๆ สามารถปลุกกำลังใจของผู้เล่นได้ถนัดมือขึ้น จิตวิทยาของคนดูกีฬา ดูละคร
หรือฟังปาฐกถา
ก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่นกีฬา
ผู้แสดงละคร
หรือแสดงปาฐกถาควรรู้ไว้
3.จิตวิทยาช่วยให้การดำเนินชีวิตในสังคมเป็นไปโดยสะดวกและราบรื่น ตามหลักจิตวิทยามีสิ่งสำคัญอยู่ ๓ ประการในเรื่องการปรับปรุงตัวเองให้เหมาะกับสังคม (ก)
ความรู้ในเรื่องมรรยาทและเรื่องจารีตประเพณี (ข)
ความรู้สำหรับทำตัวให้สนใจผู้อื่น (ค)
นิสัยที่จะคอยตรวจพิจารณา
และตีความพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ
ของผู้อื่น
เพื่อให้ทราบว่าเขามีท่าทีความรู้สึก
(ATTITUDE) และอารมณ์อย่างไร
4. การรักษาพยาบาลต้องอาศัยจิตวิทยา เพราะกำลังใจของคนไข้เป็นส่วนที่แพทย์และนางพยาบาลต้องนึกถึงไม่น้อยว่าการรักษาพยาบาลด้วยยา
ทั้งแพทย์และนางพยาบาลต้องมีอัตลักษณ์ (CHARACTER) ที่อดทนต่อการจู้จี้ของคนไข้ได้โดยไม่ให้มีเรื่องสะเทือนจิตใจของตัวเอง
และต้องมีกุศโลบายร้อยแปดเพื่อเอาใจคนไข้โดยมิให้เสียถึงหลักการรักษาพยาบาล
5.จิตวิทยาช่วยเกี่ยวกับกฎหมายในเรื่องการสืบพยาน การสืบพยานเป็นเรื่องของจิตวิทยาเท่า ๆ กับเป็นปัญหาทางกฎหมาย ศาลห้ามทนายความไม่ให้ถามนำ เพราะพยานมักจะรับการเสนอแนะจนทำให้ความจำเลอะเลือน และไม่สามารถให้การได้ตามที่พยานรู้เห็นจริง
ๆ บางคนเอาสิ่งที่ตัวเห็นจริง ๆ
ปนกับสิ่งที่ตัวนึกว่าเห็นโดยไม่มีเจตนาจะพูดเท็จ
เด็ก ๆ มักเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น
ศาลจึงไม่ถือว่าคำให้การของเด็กมีน้ำหนัก การลงโทษจำเลยก็ต้องถือเอาเหตุจูงใจ (MOTIVE) เป็นเกณฑ์ การออกกฎหมายในรัฐสภา
มีเรื่องที่จะต้องนึกถึงในด้านจิตวิทยาของประชาชนไม้น้อย เพราะจิตของ
“กลุ่มชน” ไม่ใช่จิตของอัตบุคคล (INDIVIDUAL) ทัณฑวิทยาใช้จิตวิทยามากที่สุดในการอบรมแก้ไขนักโทษให้กลับคือเป็นพลเมืองดี ชีวะวิทยาได้ทดลองให้เห็นแจ้งแล้วว่า นิสัยของบรรพบุรุษใกล้ ๆ
ไม่เป็นมรดกตกทอดทางสายโลหิตมาถึงลูกหลาน
ลูกโจรไม่จำเป็นต้องรับนิสัยโจรมาจากพ่อ
ถ้าพ่อไม่ได้เป็นผู้อบรม
นอกจากการเป็นโจรของพ่อเกิดจากความผิดปรกติทางสรีระวิทยาซึ่งอาจส่งผ่านสายโลหิตมาถึงลูกได้ เพราะฉะนั้นในทางทัณฑวิทยาเราจึงถือว่า การให้การศึกษาใหม่ย่อมแก้นิสัยชั่วได้เสมอ
6.
จิตวิทยาเป็นหัวใจของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการโฆษณาชวนเชื่อ (PROPAGANDA) การโฆษณาที่มีศีลธรรมเป็นกุศโลบายที่พ่อค้าใช้เพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบถึงคุณสมบัติ ลักษณะ
และที่จำหน่ายของสินค้าที่จะขาย
และในเวลาเดียวกันชักชวนให้ประชาชนมาซื้อสินค้านั้น คติของการโฆษณามีอยู่ว่า ผู้โฆษณาต้องไม่กล่าวเท็จ
จิตวิทยาให้แต่เพียงหลักของการใช้ถ้อยคำที่มีอำนาจชักชวน หลักของการใช้สีให้เป็นที่ชวนตาให้มอง หลักของการวางแบบให้จำง่ายและนาน และหลักการลงซ้ำเพื่อกันลืม การโฆษณาเพื่อขายสินค้าเป็นธุระกับเอกชน
แต่การประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเชื่อซึ่งมักเป็นงานของรัฐเป็นธุระกับมวลชน และไม่ต้องคำนึงถึงลักษณะกลาง ๆ ของมวลชน
เพราะไม่ว่ามวลชนจะมีสภาพเป็นอย่างไร
ประโยชน์ของชาติต้องยิ่งใหญ่กว่าเสมอ
ในการโฆษณาเพื่อขายสินค้า
ผู้โฆษณาต้องหาลักษณะกลาง ๆ
ของมวลชน
เพื่อเสนอเรื่องราวของสินค้าให้ถูกใจเอกชนให้มากคนที่สุด
ปัญหาและการเลือกปัญหาของนักจิตวิทยา
เหมือนกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป
กระบวนการทางจิตวิทยา เริ่มจากการเลือกปัญหาที่สนใจ แล้วจึง สังเกต ศึกษา
หรือทดลอง อย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหา
แล้วทำการรวบรวม เรียบเรียง และตีความข้อเท็จจริงที่ได้
หากนักจิตวิทยาพบแนวทางที่จะแก้ปัญหาหรือตอบคำถามที่กำหนด และสามารถนำมาสัมพันธ์
เกี่ยวข้องเป็นคำตอบของคำถามกว้าง ๆ ได้ นักจิตวิทยาก็จะสนใจ และลงมือศึกษาทันที
แต่บางครั้งปัญหาก็เกิดขึ้นจากการสังเกตสิ่งรอบๆ ตัว
บทสรุปของจิตวิทยา
สิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมทั้งภายในและภายนอกของมนุษย์ที่เรี่ยกว่ากระบวนการทางจิต
สามารถอธิบายพฤติกรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดพฤติกรรมต่าง
ๆ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถควบคุมพฤติกรรม ที่ไม่พึงปรารถนาให้ลดลงหรือหมดไป และเพื่อให้ผู้ศึกษานำความรู้ไปประยุกต์ใช้
ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ